วัดสระลงเรือ
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง คือ น่าจะมีอายุประมาณ 400 - 450 ปี
หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย ไม่ปรากฏหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรใด ๆ เกี่ยวกับวัด
ดังนั้น จึงไม่ทราบชื่อเดิมของวัด ปี และบุคคลที่ก่อสร้าง
หลักฐานที่หลงเหลืออยู่ก็ได้แก่ โบราณวัตถุต่าง ๆ อันประกอบด้วย
พระเจดีย์และพระปรางค์แบบก่ออิฐถือปูน สูงประมาณ 10 เมตร
อย่างละ 1 องค์ ตั้งอยู่คู่กัน พระเจดีย์ด้านทิศใต้และพระปรางค์ด้านทิศเหนือ
ซึ่งคาดว่าน่าจะจำลองมาจากวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้านหน้าของพระเจดีย์และพระปรางค์
เดิมมีอาคารแบบก่ออิฐถือปูนขนาดประมาณ 6 X 12 เมตร
อยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ (ยกเว้นหลังคาที่คงเสื่อมสภาพและอันตรธานไปตามกาลเวลา)
อาคารนี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นพระวิหารและน่าจะเป็นประธานวัตถุของวัด
โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และภายในอาคารเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปูนปั้น
ปางมารวิชัย
และด้านหน้าของอาคารเยื้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อยเป็นที่ตั้งของสระน้ำรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส
ขนาดประมาณ 60 X 60 เมตร (ปัจจุบันขยายเป็นเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่
เป็นที่ตั้งของเรือสุพรรณหงส์จำลองใหญ่ที่สุดในโลก)
ที่ตั้งของวัดอยู่บนที่ดอนสูง
ซึ่งพาดยาวมาจากทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วล้อมรอบด้วยที่ราบลุ่มต่ำ
ซึ่งในตอนหลังได้ใช้เป็นที่ทำนาของชาวบ้าน บริเวณใกล้เคียงก็เป็นที่ดอนและที่ราบลุ่มต่ำสลับกันไปเป็นระยะ
ๆ และทางทิศตะวันออกของวัดเป็นลำห้วย
ซึ่งในช่วงน้ำหลากจะมีน้ำไหลลงลำน้ำจรเข้สามพัน
กอรปกับวัดและชุมชนแห่งนี้ห่างจากเมืองโบราณอู่ทองเพียงประมาณ 12 - 13 กิโลเมตรเท่านั้น
บริเวณนี้จึงเหมาะที่จะตั้งเป็นชุมชน และด้วยเหตุนี้
บริเวณนี้จึงมีชุมชนตั้งมาแต่โบราณ อย่างน้อยตั้งแต่สมัยในสมัยอยุธยา
ดังเห็นได้จากหลักฐานประเภทเครื่องมือ เครื่องใช้
และเครื่องประดับสมัยโบราณที่เมื่อประมาณ 30 - 50 ปีก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้พบเสมอ
ๆ เวลาไถไร่ไถนาของตนในบริเวณรอบ ๆ วัด และห่างจากวัดไปทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ1 - 2 กิโลเมตร
เคยมีซากเจดีย์และอาคารก่อด้วยอิฐอย่างน้อยอีก 2 จุด
ซึ่งตอนหลังได้ถูกชาวบ้านรื้อถอนและไถกลบไป
สันนิษฐานว่า
เช่นเดียวกับวัดและชุมชนร่วมสมัยในพื้นที่ใกล้เคียง
วัดและชุมชนเหล่านี้คงจะสูญหายไปในคราวที่พม่ายกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยา
เพราะพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นเส้นทางเดินทัพของพม่าก่อนที่จะเคลื่อนทัพผ่านจังหวัดสุพรรณบุรีไปยังพระนครศรีอยุธยา
ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่คงจะหลบหนีการรุกรานของกองทัพพม่า
และกระจัดกระจายหรือเคลื่อนย้ายไปอยู่ในที่อื่น วัดสระลงเรือจึงถูกทิ้งร้างไป
วัดสระลงเรือน่าจะถูกทิ้งร้างไปประมาณ150 - 160 ปี
จนกระทั่งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2470 ชาวบ้านจากถิ่นใกล้เคียงได้อพยพเข้ามาทำไร่นาและหาของป่าในบริเวณดังกล่าว
ได้มาพบซากโบราณวัตถุ ชาวบ้านเห็นที่ตั้งของวัดมีความเหมาะสมที่จะเป็นชุมชน
โดยเฉพาะการมีสระน้ำ จึงได้เข้ามาตั้งชุมชนบริเวณนี้อีกครั้ง
และได้ช่วยกันหักร้างถางพงบริเวณซากโบราณสถานดังกล่าว เล่ากันว่าในตอนนั้น
ตัวอาคารมีต้นไม้ปกคลุมหนาทึบ และต่อมาก็ได้ช่วยกันสร้างวัด นิมนต์พระมาจำพรรษา
รวมทั้งได้มีการทำหลังคาใหม่ให้กับพระอุโบสถ และได้ตั้งชื่อวัดขึ้นว่า"วัดสระลองเรือ"เพราะสมัยนั้นบริเวณนี้มีต้นไม้ขนาดอยู่มากจึงมีคนมาตัดต้นไม้ขุดเรือแล้วนำไปทดลองในสระน้ำชาวบ้านจึงเรียกว่าสระลองเรือ
แต่ด้วยสำเนียงการพูดที่เหน่อและห้วนสั้นทำให้เพี้ยนเป็น
"สระลงเรือ"อย่างในปัจจุบัน
ต่อมา
นายจำเนียร ใคร่ครวญ ซึ่งเป็นชาวบ้านสระลงเรือโดยกำเนิดแต่ได้ไปทำธุรกิจในต่างถิ่น
ได้เข้ามากราบขอพรจากหลวงพ่อใหญ่องค์ดำ (พระพุทธอนันตภูมิสุคคุตโต)
ซึ่งในปัจจุบันประทับอยู่ในวิหารแก้ว หน้าพระอุโบสถวัดสระลงเรือ
หลังจากนั้นชีวิตของนายจำเนียร ใคร่ครวญ ก็ได้ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งใจไว้ทุกประการ
ต่อมานายจำเนียร ใคร่ครวญจึงได้สร้าง และบูรณะวัดสระลงเรือให้เป็นแหล่งวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี
โดยเฉพาะการสร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ อนุสรณ์สถานลานเจดีย์ วิหารแก้ว เรือสุพรรณหงส์จำลองใหญ่ที่สุดในโลก
และกำลังก่อสร้างรูปเหมือของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมฺรํงสี)
องค์ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นไว้อีกองค์หนึ่ง โดยให้เหตุผลว่า
ตนได้รับพรจากหลวงพ่อใหญ่องค์ดำ จึงได้ตั้งใจสร้างถาวรวัตถุเหล่านี้เพื่อทดแทนแผ่นดินบ้านเกิด
และทดแทนบุญคุณหลวงพ่อใหญ่องค์ดำ (พระพุทธอนันตภูมิสุคคุตโต)
ที่ประทานมาให้แก่ตัวของนายจำเนียร ใคร่ครวญ และครอบครัว |